wawa_hahaa2225
โคลัมเบีย

ปลูกกาแฟพันธุ์อาราบิก้า ผ่านกรรมวิธีในการล้างโดยวิธีแบบเปียก ปลูกในบริเวณเทือกเขาแอนดิส ผลผลิตออกตลอดปีเพราะความสูงเป็นกาแฟที่มีคุณภาพ เนื่องจากปลูกบริเวณดินภูเขาไฟ อุณหภูมิเหมาะสมกับพันธุ์ที่ปลูก กาแฟที่มีชื่อ ได้แก่ เมดิลลิน(Medillin),โบโกต้า(Bogota) และที่มีชื่อที่สุดคือ ซูรีโม(Suremo) โคลัมเบียได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่ผลิตกาแฟเป็นอันดับ 2 ของโลก



บราซิล

ปลูกกาแฟอาราบิก้าพันธุ์ธรรมดา ผ่านการล้างด้วยวิธีแบบแห้ง เพาะปลูกบริเวณเชิงเขา มีต้นกาแฟมากกว่า 4 พันล้านต้น ผลผลิตเป็นอันดับหนึ่งของโลกและส่งออกขายทั่วโลก เนื่องจากผลผลิตมาก



เม็กซิโก

มีการปลูกกาแฟแบบ "ออแกนิค" คือโดยวิธีธรรมชาติและเริ่มได้รับการยอมรับมากขึ้น กาแฟที่มีชื่อของเม็กซิโก คือ เวราครูซ(Veracruz)



จาไมก้า

กาแฟ"บลูเมาน์เท็น"เป็นกาแฟที่มีชื่อที่สุดของจาไมก้าและของโลก เป็นกาแฟพันธุ์อาราบิก้า ผ่านกระบวนการล้างโดยวิธีแบบเปียก



ประเทศไทย

ปลูกกาแฟทั้งอาราบิก้าและโรบัสต้า อาราบิก้าปลูกบริเวณ ภาคเหนือ ส่วนโรบัสต้าปลูกทางภาคใต้ เนื้อที่ในการปลูกมีประมาณ 4.1-4.5แสนไร่ ผลผลิตส่วนใหญ่ส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกามากที่สุด รองลงมาคือ มาเลเซีย, เกาหลี, เยอรมันนี, ญี่ปุ่น, สิงคโปร์, อังกฤษ และอีกหลายประเทศใน ยุโรปและเอเชีย







ที่มา

http://coffeepetch.blogka.com/
wawa_hahaa2225



จริงๆแล้วกาแฟมีมากกวา 50 สายพันธุ์

ซึ่งมีรายละเอียดมากมายตามการพัฒนาพันธุ์
แต่โดยทั่วไปจะอาศัยพื้นฐานจาก 3 สายพันธุ์หลักคือ












1. พันธุ์อาราบิกา






มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Coffea arabica

เป็นกาแฟที่มี ผลผลิตประมาณ 90 % ของปริมาณกาแฟของโลกถิ่นกำเนิดอยู่ใน
แถบประเทศเอธิโอเปีย

เจริญเติบโตได้ดีในแถบที่มีอากาศค่อนข้างหนาว จัดเป็นพืชกึ่งเมืองหนาว

และต้องการฤดูแล้งที่ค่อนข้างยาวนาน ประมาณ 2-3 เดือน

คุณภาพเมล็ดกาแฟอาราบิกามีคุณภาพทั้งกลิ่นและ รสชาติดีที่สุด

ลักษณะประจำพันธุ์ที่สำคัญคือมีทรงพุ่มเป็นรูปพีระมิด
ลำต้นสูงประมาณ 6-16 ฟุต กิ่งมักจะแตกเป็นมุมกว้างกับลำต้น

ทำให้ดูเกือบขนานกับพื้นดิน ใบจะเล็ก ไม่ต้านทานต่อโรคราสนิม

จึงปลูกไม่ค่อยได้ในแถบที่มีความ ชื้นหรือฝนตกชุก











2. พันธุ์โรบัสต้า








มีชื่อวิทยาศาสตร์ ว่า Coffea canephora หรือ Coffea robusta
เป็นกาแฟที่ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมปลูกได้ดีมาก โดยเฉพาะจะเจริญเติบโต
ได้ดีในแถบที่มีฝนตกสม่ำเสมอ ปลูกได้ทั้งที่มีระดับน้ำใต้ดินเสมอระดับน้ำทะเล
จนถึง 4, 300 ฟุต ผลจะเล็กกว่าพันธุ์อาราบิกา และมีนิสัยชอบร่มเงา เป็นพันธุ์ที่
ต้านทานต่อโรคราสนิม ผลผลิตดีกว่าพันธุ์อาราบิกาเมื่อเปรียบเทียบต้นต่อต้น แต่มี
ข้อเสียที่คุณภาพเมล็ดทั้งกลิ่น และรสชาติด้อยกว่าพันธุ์อาราบิกา




กาแฟสายพันธุ์โรบัสต้า

ในประเทศไทยมีพื้นที่เพาะปลูกอยู่ทางแทบภาคใต้ของประเทศ

ซึ่งถือเป็นแหล่งเพาะปลูกที่สำคัญและให้ผลผลิตมากที่สุด

เพราะทางภาคใต้ มีสภาพอากาศที่ร้อนชื้นและฝนตกชุก

มีอุณหภูมิูระหว่าง 25 - 34 องศาเซลเซียส

จึงเป็นพื้นที่เพาะปลูกที่ี่เหมาะสำหรับการเพาะปลูกกาแฟโรบัสต้า

โดยมีแหล่งเพาะปลูกที่สำคัญอยู่ที่จังหวัดชุมพร , ระนอง , สุราษฎร์ธานี ,

กระบี่ และ นครศรีธรรมราช.....

ผลผลิตกาแฟโรบัสต้า มีผลผลิตประมาณ 90 - 92 % ต่อปี

มากกว่ากาแฟอาราบิก้าหลายเท่า เพราะมีพื้นที่เพาะปลูกที่เหมาะสมอยู่มาก

จึงทำให้มีผลผลิตกาแฟโรบัสต้าจำนวนมาก และ มีมากเกินกว่า

ความต้องการบริโภคของนักดื่มกาแฟในประเทศ

ที่ต้องการบริโภคกาแฟอาราบิก้ามากกว่า .....

รสชาติของกาแฟ มีความโดดเด่นในเรื่องของรสชาติขมเข้ม หนักแน่น

และมีกลิ่นหอมออกสาป ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของกาแฟโรบัสต้า

ซึ่งเกิดจากกระบวนการผลิตกาแฟแบบแห้ง




3. พันธุ์ลิเบอริกา


มีชื่อวิทยาศาสตร์ ว่า Coffea liberica เป็นกาแฟที่ไม่
ค่อยมีความสำคัญมากนักในแง่ของการผลิตเพื่อการค้า เพราะเป็นกาแฟที่มี
คุณภาพต่ำ คือทั้งกลิ่นและรสชาติด้อยกว่า 2 พันธุ์ข้างต้น แต่ข้อดีคือปลูกได้ดี
ในแถบที่มีฝนตกชุก และสม่ำเสมอ อีกทั้งมีลักษณะที่สำคัญคือสามารถปรับตัวเข้า
กับสภาพแวดล้อมปลูกได้เป็นอย่างดี จึงมีความสำคัญในแง่ของการปรับปรุงพันธุ์
มากกว่าการผลิตเพื่อการค้า




ที่มา





wawa_hahaa2225



กาแฟเป็นเครื่องดื่มที่ทำจากเมล็ดกาแฟคั่วซึ่งได้จากต้นกาแฟ
กาแฟเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกชนิดหนึ่งเช่นเดียวกับชาและน้ำ
กาแฟเป็นสินค้าธรรมชาติที่มีการซื้อขายกันมากเป็นอันดับสองของโลก
รองจากปิโตรเลียมเท่านั้น


มนุษย์เริ่มบริโภคกาแฟตั้งแต่สมัยคริสต์ศตวรรษที่ 9 เมื่อถูกค้นพบตามที่ราบสูง
นเอธิโอเปีย จากนั้นก็แพร่กระจายไปยังอียิปต์และเยเมน แลเมื่อถึงคริสต์ศตวรรษที่ 15
กาแฟก็เดินทางไปถึงอาเซอร์ไบจาน เปอร์เซีย ตุรกีและแอฟริกาเหนือ จากโลกมุสลิม
กาแฟก็เดินทางไปยังอิตาลี จากนั้นไปยังส่วนที่เหลือของยุโรป อินโดนีเซียและทวีปอเมริกา
กาแฟมีส่วนสำคัญในสังคมหลายแห่งในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ในแอฟริกาและเยเมน

กาแฟเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมทางศาสนา ดังนั้นคริสตจักรเอธิโอเปียจึงสั่งห้าม
บริโภคกาแฟจนกระทั่งถึงรัชสมัยของจักรพรรดิมีนีลิคที่ 2 แห่งเอธิโอเปีย
กาแฟถูกสั่งห้ามในจักรวรรดิออตโตมาน
ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 เนื่องจากเหตุผลทางการเมือง
และได้รับความร่วมมือจากกิจกรรมทางการเมืองหัวรุนแรงในทวีปยุโรป
กาแฟเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญของโลก ในปี ค.ศ. 2004
กาแฟเป็นผลผลิตทางการเกษตรที่มีการส่งออกมากเป็นอันดับที่หกของโลก
เป็นสินค้าการเกษตรส่งออกที่ทำรายได้เป็นอันดับหนึ่งในจำนวน 12 ประเทศ
และในปี ค.ศ. 2005 กาแฟเป็นพืชที่มีการส่งออกนอกประเทศมีมูลค่าสูง
เป็นอันดับ 7 ทั่วโลก
กาแฟได้รับการโต้เถียงอย่างมากในด้านการเพาะปลูกต้นกาแฟและผลกระทบ
กับสิ่งแวดล้อมและมีการศึกษาจำนวนมากที่ระบุถึงความสัมพันธ์ระหว่าง
การบริโภคกาแฟกับข้อจำกัดทางยาอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม
ก็ยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัดว่ากาแฟให้คุณหรือให้โทษกันแน่





ที่มา

wawa_hahaa2225



เชื่อกันว่ากาแฟถูกค้นพบครั้งแรกโดยเด็กเลี้ยงแพะชาวอาบิสซีเนีย
ที่ชื่อว่า คาลดี ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 9 จากการสังเกตพบว่า แพะดูกระปรี้กระเปร่าขึ้น
เมื่อกินเมล็ดกาแฟป่า จากเอธิโอเปีย กาแฟได้แพร่กระจายไปยังอียิปต์และเยเมน
และในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15 กาแฟได้แร่ไปทั่วตะวันออกกลางทั้งหมด
รวมทั้ง เปอร์เซีย ตุรกีและแอฟริกาเหนือ


ในปี ค.ศ. 1583 เลโอนาร์ด เราวอล์ฟ แพทย์ชาวเยอรมัน
ได้บรรยายถึงกาแฟหลังจากท่องเที่ยวในดินแดนตะวันออกใกล้เป็นเวลากว่าสิบปีไว้ว่าดังนี้:
“ เครื่องดื่มที่มีสีดำเหมือนหมึก ใช้รักษาโรคภัยได้หลายชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคที่เกี่ยว
กับท้อง ผู้ดื่มจะดื่มในตอนเช้า มันเป็นการนำน้ำและผลไม้จากไม้พุ่มที่เรียกว่า bunnu ”


ในช่วงก่อนศตวรรษที่ 16 กาแฟถูกปลูกโดยชาวอาหรับเท่านั้น
ชาวอาหรับหวงแหนพันธุ์กาแฟมาก แต่ในที่สุดเมล็ดกาแฟก็ออกมาสู่โลกกว้าง
เนื่องจากการค้าขายระหว่างเวนิซกับแอฟริกาเหนือ อียิปต์และตะวันออกกลางที่เจริญขึ้น
ทำให้อิตาลีได้รับสินค้าใหม่ ๆ เข้ามา ซึ่งรวมไปถึงกาแฟด้วย หลังจากนั้น
กาแฟก็ได้แพร่กระจายไปทั่วยุโรป เนื่องจากได้รับการยอมรับว่าเป็นเครื่องดื่มของคริสเตียน
โดยสมเด็จพระสันตะปาปาคลีเมนต์ที่ 8 ในปี ค.ศ. 1600 แม้ว่าจะมีการร้องเรียนให้ยกเลิก
"เครื่องดื่มมุสลิม" ก็ตาม ร้านกาแฟแห่งแรกในทวีปยุโรปเปิดในอิตาลีในปี ค.ศ. 1645
ชาวดัตช์เป็นชนชาติแรกที่นำเข้ากาแฟเป็นจำนวนมาก และฝ่าฝืนข้อห้ามของอาหรับ
เกี่ยวกับการส่งออกพืชและเมล็ดที่ยังไม่ได้คั่ว เมื่อ Pieter van den Broeck
ลักลอบนำเข้ากาแฟจากเอเดนไปยังยุโรปในปี ค.ศ. 1616
ในภายหลังชาวดัตช์ยังได้นำไปปลูกในเกาะชวาและซีลอน ซึ่งผลผลิตกาแฟจาก
เกาะชวาสามารถส่งไปยังเนเธอร์แลนด์ได้ในปี ค.ศ. 1711 และด้วยความพยายามของ
บริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ ทำให้กาแฟได้รับความนิยมในประเทศอังกฤษ
เช่นเดียวกันกาแฟเข้าสู่ประเทศฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. 1657 และเข้าสู่ประเทศออสเตรีย
และโปแลนด์หลังจากยุทธการแห่งเวียนนา เมื่อปี ค.ศ. 1683 หลังจากที่ทหาร
สามารถยึดเสบียงของทหารออตโตมานเติร์กที่พ่ายแพ้ในการรบครั้งนั้น


หลังจากนั้น กาแฟได้เข้าสู่ทวีปอเมริกาเหนือในช่วงของยุคอาณานิคม
แต่ว่าไม่ได้รับความนิยมมากเท่ากับในทวีปยุโรป อย่างไรก็ตาม ในช่วงสงครามปฏิวัติ
อเมริกันปริมาณความต้องการกาแฟได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจนพวกพ่อค้า
กักตุนสินค้าเอาไว้และปั่นราคาขึ้นอย่างกะทันหัน ซึ่งบางส่วนเป็นผลมาจากการที่
พ่อค้าชาวอังกฤษไม่สามารถนำเข้าชาได้มากนัก หลังจากสงครามปี 1812
ในช่วงที่อังกฤษงดการนำเข้าชาเป็นการชั่วคราว ชาวอเมริกันจึงหันมาดื่มกาแฟแทน
และมีปริมาณความต้องการสูงมากในช่วงสงครามกลางเมืองอเมริกัน ไปพร้อม ๆ
กับการพัฒนาของเทคโนโลยีการต้มเหล้าทำให้กาแฟกลายเป็นสินค้ายอดนิยม
ในสหรัฐอเมริกาจนถึงปัจจุบัน




ที่มา


wawa_hahaa2225
ประกอบด้วย 9 หลัก ดังนี้

1. ความเรียบง่าย (Simplicity)หมายถึง การจำกัดองค์ประกอบเสริมให้เหลือเฉพาะองค์ประกอบหลัก คือในส่วนของกราฟิก สีสัน ตัวอักษรและภาพเคลื่อนไหว ที่จะนำมาประกอบเสริมในการนำเสนอนั้นต้องเลือกให้พอเหมาะ ถ้าหากมีมากเกินไปจะรบกวนสายตาและสร้างความคำราญต่อผู้ใช้ โดยการออกแบบที่เรียบง่าย ไม่ซับซ้อน และใช้งานอย่างสะดวก
2. ความสม่ำเสมอ ( Consistency)หมายถึง การสร้างความสม่ำเสมอให้เกิดขึ้นตลอดทั้งเว็บไซต์ โดยอาจเลือกใช้รูปแบบเดียวกันตลอดทั้งเว็บไซต์ก็ได้ เพราะถ้าหากว่าแต่ละหน้าในเว็บไซต์นั้นมีความแตกต่างกันมากจนเกินไป อาจทำให้ผู้ใช้เกิดความสับสนและไม่แน่ใจว่ากำลังอยู่ในเว็บไซต์เดิมหรือไม่ และความสมำเสมอเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการนำเสนอสไลด์ซึ่งเป็นเนื้อหาในเรื่องเดียวกัน คือ ต้องมีความคงตัวในการออกแบบสไลด์ ซึ่งหมายถึงต้องใช้รูปแบบสไลด์เดียวกันทุกแผ่นที่เกี่ยวกับเนื้อหานั้น โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนสี พื้นหลัง หรือขนาดและแบบตัวอักษร โดยอาจจะมีการเน้นในจุดที่สำคัญเช่นการเล่นสีตัวอักษรหรือสีสไลด์
3. ความเป็นเอกลักษณ์ (Identity)ในการออกแบบเว็บไซต์ต้องคำนึงถึงลักษณะขององค์กรเป็นหลัก เนื่องจากเว็บไซต์จะสะท้อนถึงเอกลักษณ์และลักษณะขององค์กร การเลือกใช้ตัวอักษร ชุดสี รูปภาพหรือกราฟิก จะมีผลต่อรูปแบบของเว็บไซต์เป็นอย่างมาก ตัวอย่างเช่น ถ้าเราต้องออกแบบเว็บไซต์ของธนาคารแต่เรากลับเลือกสีสันและกราฟิกมากมาย อาจทำให้ผู้ใช้คิดว่าเป็นเว็บไซต์ของสวนสนุกซึ่งส่งผลต่อความเชื่อถือขององค์กรได้
4. เนื้อหา (Useful Content)ถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในเว็บไซต์ เนื้อหาในเว็บไซต์ต้องสมบูรณ์และได้รับการปรับปรุงพัฒนาให้ทันสมัยอยู่เสมอ ผู้พัฒนาต้องเตรียมข้อมูลและเนื้อหาที่ผู้ใช้ต้องการให้ถูกต้องและสมบูรณ์ เนื้อหาที่สำคัญที่สุดคือเนื้อหาที่ทีมผู้พัฒนาสร้างสรรค์ขึ้นมาเอง และไม่ไปซ้ำกับเว็บอื่น เพราะจะถือเป็นสิ่งที่ดึงดูดผู้ใช้ให้เข้ามาเว็บไซต์ได้เสมอ แต่ถ้าเป็นเว็บที่ลิงค์ข้อมูลจากเว็บอื่น ๆ มาเมื่อใดก็ตามที่ผู้ใช้ทราบว่า ข้อมูลนั้นมาจากเว็บใด ผู้ใช้ก็ไม่จำเป็นต้องกลับมาใช้งานลิงค์เหล่านั้นอีก
5. ระบบเนวิเกชั่น (User-Friendly Navigation)เป็นส่วนประกอบที่มีความสำคัญต่อเว็บไซต์มาก เพราะจะช่วยไม่ให้ผู้ใช้เกิดความสับสนระหว่างดูเว็บไซต์ ระบบเนวิเกชั่นจึงเปรียบเสมือนป้ายบอกทาง ดังนั้นการออกแบบเนวิเกชั่น จึงควรให้เข้าใจง่าย ใช้งานได้สะดวก ถ้ามีการใช้กราฟิกก็ควรสื่อความหมาย ตำแหน่งของการวางเนวิเกชั่นก็ควรวางให้สม่ำเสมอ เช่น อยู่ตำแหน่งบนสุดของทุกหน้าเป็นต้น ซึ่งถ้าจะให้ดีเมื่อมีเนวิเกชั่นที่เป็นกราฟิกก็ควรเพิ่มระบบเนวิเกชั่นที่เป็นตัวอักษรไว้ส่วนล่างด้วย เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้ที่ยกเลิกการแสดงผลภาพกราฟิกบนเว็บเบราเซอร์
6. คุณภาพของสิ่งที่ปรากฏให้เห็นในเว็บไซต์ (Visual Appeal)ลักษณะที่น่าสนใจของเว็บไซต์นั้น ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคลเป็นสำคัญ แต่โดยรวมแล้วก็สามารถสรุปได้ว่าเว็บไซต์ที่น่าสนใจนั้นส่วนประกอบต่าง ๆ ควรมีคุณภาพ เช่น กราฟิกควรสมบูรณ์ไม่มีรอยหรือขอบขั้นบันได้ให้เห็น ชนิดตัวอักษรอ่านง่ายสบายตา มีการเลือกใช้โทนสีที่เข้ากันอย่างสวยงาม เป็นต้น
7. ความสะดวกของการใช้ในสภาพต่าง ๆ (Compatibility)การใช้งานของเว็บไซต์นั้นไม่ควรมีขอบจำกัด กล่าวคือ ต้องสามารถใช้งานได้ดีในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย ไม่มีการบังคับให้ผู้ใช้ต้องติดตั้งโปรแกรมอื่นใดเพิ่มเติม นอกเหนือจากเว็บบราวเซอร์ ควรเป็นเว็บที่แสดงผลได้ดีในทุกระบบปฏิบัติการ สามารถแสดงผลได้ในทุกความละเอียดหน้าจอ ซึ่งหากเป็นเว็บไซต์ที่มีผู้ใช้บริการมากและกลุ่มเป้าหมายหลากหลายควรให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ให้มาก
8. ความคงที่ในการออกแบบ (Design Stability)ถ้าต้องการให้ผู้ใช้งานรู้สึกว่าเว็บไซต์มีคุณภาพ ถูกต้อง และเชื่อถือได้ ควรให้ความสำคัญกับการออกแบบเว็บไซต์เป็นอย่างมาก ต้องออกแบบวางแผนและเรียบเรียงเนื้อหาอย่างรอบคอบ ถ้าเว็บที่จัดทำขึ้นอย่างลวก ๆ ไม่มีมาตรฐานการออกแบบและระบบการจัดการข้อมูล ถ้ามีปัญหามากขึ้นอาจส่งผลให้เกิดปัญหาและทำให้ผู้ใช้หมดความเชื่อถือ
9. ความคงที่ของการทำงาน (Function Stability)ระบบการทำงานต่าง ๆ ในเว็บไซต์ควรมีความถูกต้องแน่นอน ซึ่งต้องได้รับการออกแบบสร้างสรรค์และตรวจสอบอยู่เสมอ ตัวอย่างเช่น ลิงค์ต่าง ๆ ในเว็บไซต์ ต้องตรวจสอบว่ายังสามารถลิงค์ข้อมูลได้ถูกต้องหรือไม่ เพราะเว็บไซต์อื่นอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ปัญหาที่เกิดจากลิงค์ ก็คือ ลิงค์ขาด ซึ่งพบได้บ่อยเป็นปัญหาที่สร้างความรำคาญกับผู้ใช้เป็นอย่างมาก


wawa_hahaa2225
1.หลักการออกแบบลักษณะการออกแบบที่ดี (Characteristics of Good Design)
- ควรเป็นการออกแบบที่เหมาะสมกับการมุ้งหมายของการนำไปใช้
- ควรเป็นการออกแบบที่มีสักษณะง่ายต่อการทำความเข้าใจ การนำไปใช้งานและกระบวนการผลิต
- ควรมีสัดส่วนที่ดีและเหมาะสมตามสภาพการใช้งานของสื่อ
- ควรมีความกลมกลืนของส่วนประกอบ ตลอดจนสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมของการใช้และการผลิตสื่อชนิดนั้น
2.การประเมิณผลสื่อการเรียนการสอน
การประเมิณผลสื่อการเรียนการสอน หมายถึง การวัดผลสื่อการเรียนการสอนมาตีความหมาย (Interpretation) และตัดสินคุนค่า (Value judgment) เพื่อที่จะรู้ว่าสื่อนั้นทำหน้าที่ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ได้มากแค่ไหน มีคุณภาพดีหรือไม่เพียงไร มีลักษณะถูกต้องตามที่ต้องการ หรือไม่ประการใด
การตรวจสอบสื่อการเรียนการสอน การตรวจสอบแบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ คือ
1. การตรวจสอบโครงสร้างภายในสื่อ
- ลักษณะสื่อ
- เนื้อหาสาระ
2.ตรวจสอบคุณภาพสื่อ ในการตรวจสอบคุณภาพสื่อ เครื่องมือที่นิยมใช้กันมากมี 2 แบบ คือ
- แบบทดสอบ
- แบบสังเกต
3. การทดสอบสื่อ แบ่งการดำเนินงานออกเป็น 3 ขั้นตอน คือ
3.1 การทดสอบหนึ่งต่ออหนึ่ง โดยให้ตัวแทนเป้าหมาย 1 คนเรียนกับสื่อ ในระหว่างการทดสอบใช้สื่อให้ผู้ตรวจสอบทำการสังเกตการสื่อการเรียนการสอนอย่างใกล้ชิดโดยใช้แบบสังเกต และบันทึกแบบสังเกตเพื่อเป็นข้อมูลในการปรับปรุงแก้ไขสื่อ
3.2 การทดสอบแบบกลุ่มเล็ก ตัวแทนกลุ่มเป้าหมายกลุ่มเล็ก จำนวนประมาณ 5-10 คน การทดสอบสื่อในขั้นนี้ บางครั้งอาจจะต้องการทำมากกว่าหนึ่งครั้ง
3.3 แบบทดสอบกลุ่มใหญ่ ทดสอบด้วยกลุ่มตัวแทนกลุ่มเป้าหมายกลุ่มใหญ่ประมาณ 30 คน เป็นขั้นตอนการทดสอบที่หลังจากสื่อได้รับการปรับปรุงแก้ไขจนมีคุณภาพมาตราฐานสูง